Welcome

ยินดีต้อนรับทุกท่าน

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

มงคลที่ ๓๑ การบำเพ็ญตบะ


                                 เมื่อกิเลส             เผาใจ                   ให้ร้อนรุ่ม    
                                 ดุจไฟสุ่ม            อกหมกไหม้          ทั้งวัน
                                 ต้องตบะ             เพียรเผาผลาญ   โดยพลัน    
                                 ไม่ไหวหวั่น         เกรงกลัว               ต่อสิ่งใด
                                 ควรฝึก               สังวรอินทรีย์         ให้ดี      
                                 ขันติมี                 สติคล่อง                ว่องไว
                                 สมาธิ                  ปัญญา                   ย่อมผ่องใส      
                                 รู้ชัดได้                ตามจริง                สิ่งปรากฏ


ตบะ  คือ  อะไร ?

ตบะ   แปลว่า  ทำให้ร้อน  ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด  รวมความตั้งแต่ การเผา  ลน ย่าง ต้ม ปิ้ง อบ คั่ว ผิง ฯลฯ


การบำเพ็ญตบะ  หมายถึง  การทำความเพียรเผาผลาญกิเลสทั้งปวงให้เร่าร้อน  หรือเผาผลาญให้กิเลสหมดไป  แล้วใจก็จะผ่องใส  หมดทุกข์


ลักษณะการบำเพ็ญตบะ  มีดังนี้

๑.  การมีใจสำรวมในอินทรีย์ทั้ง ๖  (อายตนะภายใน ๖ อย่าง)  ได้แก่  ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ  ไม่ให้หลงติดอยู่กับสัมผัสภายนอกที่มากระทบ ไม่ให้กิเลสครอบงำใจเวลาที่รับรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางอินทรีย์ทั้ง ๖  (อินทรีย์สังวร)
ิิ
๒.  การประพฤติรักษาพรหมจรรย์  เว้นจากการร่วมประเวณี หรือกามกิจทั้งปวง

๓.  การปฏิบัติธรรม  คือ  การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ทางตา หู จมูก ลิ้น  กายและใจ ตามความเป็นจริง  ว่าไม่ใช่ตัวตน  สัตว์  บุคคล  เรา  เขา  เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้จิตรู้แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา  ขณะใดที่จิตรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง  ขณะนั้นศีลบริสุทธิ์  เมื่ออบรมเจริญสติจนมีกำลังมาก  สมาธิย่อมตั้งมั่นและปัญญาย่อมรู้แจ้งและสามารถดับกิเลสให้หมดสิ้นได้


การบำเพ็ญตบะในชีวิตประจำวัน

๑.  มีอินทรียสังวร  คือ  การสำรวมระวังตน  โดยอาศัยสติเป็นเครื่องคุ้มครองทวารหรือช่องทางติดต่อกับภายนอก  มี ๖  ทาง  ได้แก่  ตา หู  จมูก ลิ้น กายและใจ


         พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบช่องทางทั้ง ๖ ไว้  ดังนี้

                    ๑.  ตาคนเรานี้เหมือนงู  งูไม่ชอบที่เรียบ ๆ  ชอบที่ลึกลับซับซ้อน ตาคนก็เหมือนกัน ชอบดูสิ่งที่มีลวดลายวิจิตรสวยงาม ชอบดูสิ่งที่ปกปิด ยิ่งห้ามยิ่งชอบ

                    ๒.  หูคนเรานี้เหมือนจระเข้  คือ ชอบที่เย็น ๆ  อยากฟังคำพูดเย็น ๆ  ที่เขาชมตน หรือคำพูดที่ไพเราะกับตน

                    ๓.  จมูกคนเรานี้เหมือนนก  คือ ชอบโผขึ้นไปในอากาศ  พอได้กลิ่นอะไรหน่อยก็ตาม  ดมทีเดียวว่ามาจากไหน

                    ๔.  ลิ้นคนเรานี้เหมือนสุนัขบ้าน  คือ ชอบลิ้มรสอาหาร  วัน ๆ  ขอให้ได้กินของอร่อย ๆ  เที่ยวซอกแซกหาอาหารอร่อย ๆ กินทั้งวัน  ยิ่งพิสดารยิ่งชอบมาก

                    ๕.  กายคนเรานี้เหมือนสุนัขจิ้งจอก  คือ  ชอบที่อุ่น ๆ ที่นุ่ม ๆ ชอบซุก  เดี๋ยวจะไปซุกตักคนโน้น เดี๋ยวจะไปซุกตักคนนี้  ชอบพิงคนโน้น   ชอบจับคนนี้

                    ๖.  ใจคนนี้เหมือนลิง  คือ ชอบซน คิดโน่นคิดนี่ ประเดี๋ยวก็ฟุ้งซ่าน ไม่ยอมอยู่นิ่ง ไม่ยอมสงบ


วิธีที่จะทำให้อินทริยสังวรเกิดขึ้น  ควรฝึกตนให้มีหิิริโอตตัปปะ  คือ มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป  โดยคำนึงถึง ชาติตระกูล  อายุ วิชาความรู้ ครูอาจารย์ สำนักศึกษาของตน และอื่น ๆ  ดังรายละเอียดในมงคงที่ ๑๙

ผู้มีอินทรียสังวรดี  ศีลย่อมบริสุทธิ์  ศีลบริสุทธิ์ สมาธิย่อมเกิดได้ง่าย  สมาธิตั้งมั่น ปัญญาก็เกิดขึ้น เป็นความสว่างภายใน  รู้เห็นสิ่งต่าง ๆ  ตามความเป็นจริง  เห็นถึงตัวกิเลสที่ซุกซ่อนอยู่ภายในและสามารถกำจัดให้หมดสิ้น


๒.  ความเพียรในการปฏิบัติธรรม

ความเพียรเป็นคุณธรรมที่สำคัญยิ่ง  ถ้าต้องการจะทำกิจการงานต่าง ๆ  ให้สำเร็จ  ก็ต้องมีความเพียรเป็นกำลังช่วยเกื้อหนุนให้งานนั้นสำเร็จไปด้วยดี  นอกจากนั้นความเพียรยังเป็นคุณธรรมที่ช่วยทำให้คุณธรรมทั้งหลายเจริญงอกงามขึ้นได้


อานิสงส์ของความเพียร

๑.  ทำให้เลิกเป็นคนเอาแต่ใจตัวได้ในเร็ววัน

๒.  ทำให้คุณธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นในตน

๓.  ทำให้มงคลข้อต้น ๆ  ทั้งหมดเกิดขึ้นกับเรา

๔.  ทำให้บรรลุมรรคผลได้เร็ว


.........................










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น