ชีวิตนี้ มีภัย อย่างมากมาย
มีความตาย รอเรา อยู่เบื้องหน้า
อีกความแก่ ความเจ็บ ติดตามล่า
รู้เถิดว่า นั้นหนา คือภัยใน
ส่วนภัยนอก ย่ำยี่ หนีไม่พ้น
ทุกข์เหลือล้น ทนสู้ อยู่ร่ำไป
ทุกข์จากภัย คนชั่ว มั่วความใคร่
ทุกข์ยิ่งใหญ่ ไฟไหม้ แผ่นดินไหว
ทุกข์จากกรรม ตามติด ดุจดั่งเงา
เพราะงี่เง่า โง่เขลา เอาแต่ใจ
อยากพ้นภัย จงดับ สมุทัย
จิตผ่องใส สุขเกษม เปรมปรีเอย
ภัยของมนุษย์
ภัยของมนุษย์แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท ดังนี้
๑. ภัยภายใน พอเกิดมาเราก็มีภัยประเภทนี้มาคอยรุมล้อมรอบตัวอยู่ตลอดเวลา
ข้างหลัง คือ ชาติภัย ภัยจากการเกิด
ข้างขวา คือ ชราภัย ภัยจากความแก่
ข้างซ้าย คือ พยาธิภัย ภัยจากความเจ็บ
ข้างหน้า คือ มรณภัย ภัยจากความตาย
๒. ภัยภายนอก มีอยู่นับไม่ถ้วน เช่น
- ภัยจากคน เช่น ผัวร้าย เมียเลว ลูกชั่ว เพื่อนที่ไม่ดี คนพาล คนเกเร นับไม่ถ้วน
- ภัยจากธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ฟ้าผ่า
- ภัยจากบาปกรรมตามทัน ถูกล้างผลาญทุกรูปแบบ เคยเบียดเบียนสัตว์ก็ทำให้ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย
พิการ เคยโกหกไว้มากก็ทำให้ความจำเลอะเลือน ไปลักขโมยโกงเขา เขาจับได้ถูกขังคุกลงโทษ ก็สารพัด ฯลฯ
ทำไมเราจึงต้องพบกับภัยเหล่านี้ ?
ที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ไม่รู้กี่ภพกี่ชาตินับไม่ถ้วน ก็เพราะว่าถูกผูกด้วย โยคะ แปลว่า เครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ มีอยู่ ๔ ประการ ได้แก่
๑. กามโยคะ คือ ความยินดีพอใจในกามคุณ อันได้แก่อารมณ์ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ
เช่น อยากได้เห็นสิ่งสวย ๆ อยากได้ยินเสียงที่ไพเราะ อยากได้กลิ่นหอม ๆ อยากได้ลิ้มรสอร่อย ๆ อยาก อยากสัมผัสสิ่งที่อ่อนนุ่ม อยากร่ำรวยมีเงินทองมาก ๆ ความติดข้องต้องการในอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นเสมือนเชือกเกลียวแรกที่ผูกมัดตัวเราไว้
๒. ภวโยคะ คือ ความยินดีพอใจในรูปฌานและอรูปฌาน คนที่พ้นจากเกลียวแรกมาได้ ก็ต้องมาเจอกับเกลียวที่ ๒ นี้ คือเมื่อได้พบกับความสุขจากการที่จิตเริ่มสงบ ทำสมาธิจนกระทั่งได้รูปฌานหรืออรูปฌาน ก็พอใจยินดีอยู่ในความสุขจากอารมณ์ของฌาน พอตายจากโลกนี้ก็ไปเกิดเป็นรูปพรหมหรืออรูปพรหมในพรหมโลก ซึ่งก็ยังต้องกลับมาสู่โลกนี้อีกเมื่อหมดบุญแล้ว นี่ก็ยังไม่พ้นภัย ก็เป็นเสมือนเชือกเกลียวที่ ๒
๓. ทิฏฐิโยคะ คือ ความยึดถือความคิดเห็นผิด ๆ ของตนเอง เช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณต่อตนบ้าง เห็นว่าโลกนี้โลกหน้าไม่มีจริงบ้าง เห็นว่าตนเองจะพ้นทุกข์ด้วยการบวงสรวงอ้อนวอนบ้าง ใจยังมืดอยู่ยังไปหลงยึดความเห็นผิด ๆ อยู่ สิ่งนี้เลยเป็นเสมือนเชือกเกลียวที่ ๓
๔. อวิชชาโยคะ คือ ความไม่รู้แจ้งในพระสัทธรรม ความสว่างของใจยังไม่พอ ยังไม่เห็นอริยสัจ ๔ ไม่เห็นทางพ้นทุกข์พ้นภัย นี่ก็เป็นเชือกเกลียวที่ ๔
จิตเกษม คือ อะไร ?
เกษม แปลว่า ปลอดภัย พ้นภัย สิ้นกิเลส มีความสุข
จิตเกษม หมายถึง สภาพจิตที่หมดกิเลสแล้ว โยคะเครื่องผูกสัตว์ไว้ในโลก เชือกทั้ง ๔ เกลียว ได้ถูกฟันขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิง จิตเป็นอิสระ เสรี ทำให้คล่องตัวไม่ติดขัด ไม่อึดอัดอีกต่อไป ไม่มีภัยใด ๆ มาบีบคั้นได้อีก จึงมีความสุขอย่างแท้จริง พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ผู้ที่จะมีจิตเกษมได้อย่างแท้จริง คือ ผู้ที่มีใจจรดนิ่งแช่อิ่มอยู่ในนิพพานตลอดเวลา ซึ่งก็ได้แก่พระอรหันต์นั่นเอง
จิตพระอรหันต์นั้น นอกจากจะหมดกิเลสแล้ว ยังทำให้มีความรู้ความสามารถพิเศษอีกหลายประการ เช่น
อภิญญา ๖
อภิญญา ๖ คือ ความรู้อันยิ่งยวด เหนือความรู้จากการตรองด้วยหลักเหตุผลธรรมดา ได้แก่
๑. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็นสิ่งต่าง ๆ ย่อหรือขยายตัวได้ หายตัวได้ ฯลฯ
๒. ทิพย์โสต มีหูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตคนอื่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
๔. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
๕. จุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุ) มีตาทิพยื
๖. อาสวัคขยญาณ ทำกิเลสให้สินไปได้
ในอภิญญา ๖ นี้ ข้อแรกเป็นโลกียอภิญญา ข้อที่ ๖ เป็นโลกุตตร - อภิญญา คุณวิเศษเหล่านี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงด้วยการบอกเล่าหรือสั่งสอนกัน ผู้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นนั้น ๆ แล้วจึงจะประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง
พระอรหันต์บางรูปได้คุณสมบัติหมดกิเลสได้วิชชา ๓ แต่ไม่ได้อภิญญา ๖ เนื่่องจากแม้จะฝึกตนเองข้ามภพข้ามชาติมาแล้วพอสมควร แต่ไม่ได้ทำอย่างอุกฤษฏ์ คือไม่ได้ทำถึงขั้นสูงสุด จึงเพียงแต่หมดกิเลส อย่างไรก็ตามพระอรหันต์ทุกรูปจะต้องได้วิชชา ๓
วิชชา ๓
วิชชา ๓ คือ ความรู้แจ้ง ความรู้พิเศษอันลึกซึ้งปัญญา ได้แก่ ญาณ คือ ความหยั่งรู้เป็นความรู้พิเศษ เป็นปัญญาอันเกิดจากการทำสมาธิ ภาวะที่เรียกว่า ภาวปัญญาซึ่งเป็นปัญญาขั้นสูงสุด จะเข้าถึงธรรมบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องเข้าถึงด้วยภาวนายมปัญญานี้เท่านั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสละชีวิตปฏิบัติธรรมจนได้ภาวนายมปัญญา บรรลุวิชชา ๓ นี้ ในวันตรัสรู้ธรรมวิชชา ๓ มีดังนี้ ซึ่งเกิดจากการทำสมาธิสุดยอดเข้าถึงธรรมกาย คือ
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลึกชาติตัวเองได้
๒. จุตูปปาตญาณ คือ ตาทิพย์ ระลึกชาติคนอื่นได้
วิชชา ๓ คือ ความรู้แจ้ง ความรู้พิเศษอันลึกซึ้งปัญญา ได้แก่ ญาณ คือ ความหยั่งรู้เป็นความรู้พิเศษ เป็นปัญญาอันเกิดจากการทำสมาธิ ภาวะที่เรียกว่า ภาวปัญญาซึ่งเป็นปัญญาขั้นสูงสุด จะเข้าถึงธรรมบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องเข้าถึงด้วยภาวนายมปัญญานี้เท่านั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสละชีวิตปฏิบัติธรรมจนได้ภาวนายมปัญญา บรรลุวิชชา ๓ นี้ ในวันตรัสรู้ธรรมวิชชา ๓ มีดังนี้ ซึ่งเกิดจากการทำสมาธิสุดยอดเข้าถึงธรรมกาย คือ
๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลึกชาติตัวเองได้
๒. จุตูปปาตญาณ คือ ตาทิพย์ ระลึกชาติคนอื่นได้
๓. อาสวัคขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้หมดกิเลส
วิชชา ๘
วิชชา ๘ คือ ความรู้แจ้ง หรือความรู้วิเศษ ๘ อย่าง คือ
๑. วิปัสสนาญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขาร โดยไตรลักษณ์
๒. มโนมยิทธิ ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ ฤทธิ์ทางใจ
๓. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็น สิ่งต่าง ๆ ย่อหรือขยายตัวได้ หายตัวได้ ฯลฯ
๔. ทิพยโสต มีหูทิพย์
๕. เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตผู้อื่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
๖. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
๗. ทิพยจักษุ มีตาทิพย์
๘. อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำกิเลสให้สินไปได้
ปฏิสัมภิทาญาณ ๔
ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ คือ ความสามารถพิเศษในการสั่งสอนคนอื่น ได้แก่
๑. อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ เห็นข้อธรรมใดก็สามารถอธิบายขยายความออกไปได้โดยพิสดาร
๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานธรรม สามารสรุปข้อความได้อย่างกระซับ เก็บความสำคัญได้หมด
๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ คือ แตกฉานเรื่อง ภาษาทุกภาษา ทั้งภาษาของมนุษย์และสัตว์ สามารถเข้าใจได้
๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ มีไหวพริบปฏิภาณดี สามารถอธิบายแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ดี ตอบคำถามได้แจ่มแจ้ง
การปฏิบัติธรรมมีอานิสงส์มากมายถึงปานนี้ เราทุกคนจึงควรตั้งใจฝึกฝนตนเองตามมงคลต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วข้างตน ทำอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ช้าเราก็จะเป็นผู้รู้จริงทำได้จริงผู้หนึ่ง มีติตเกษมปลอพภัยจากภัยต่าง ๆ และมีความรู้พิเศษสุดยอด ตามเยี่ยงอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้
วิชชา ๘
วิชชา ๘ คือ ความรู้แจ้ง หรือความรู้วิเศษ ๘ อย่าง คือ
๑. วิปัสสนาญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขาร โดยไตรลักษณ์
๒. มโนมยิทธิ ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ ฤทธิ์ทางใจ
๓. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็น สิ่งต่าง ๆ ย่อหรือขยายตัวได้ หายตัวได้ ฯลฯ
๔. ทิพยโสต มีหูทิพย์
๕. เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตผู้อื่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
๖. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
๗. ทิพยจักษุ มีตาทิพย์
๘. อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำกิเลสให้สินไปได้
ปฏิสัมภิทาญาณ ๔
ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ คือ ความสามารถพิเศษในการสั่งสอนคนอื่น ได้แก่
๑. อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ เห็นข้อธรรมใดก็สามารถอธิบายขยายความออกไปได้โดยพิสดาร
๒. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานธรรม สามารสรุปข้อความได้อย่างกระซับ เก็บความสำคัญได้หมด
๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ คือ แตกฉานเรื่อง ภาษาทุกภาษา ทั้งภาษาของมนุษย์และสัตว์ สามารถเข้าใจได้
๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ มีไหวพริบปฏิภาณดี สามารถอธิบายแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ดี ตอบคำถามได้แจ่มแจ้ง
การปฏิบัติธรรมมีอานิสงส์มากมายถึงปานนี้ เราทุกคนจึงควรตั้งใจฝึกฝนตนเองตามมงคลต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วข้างตน ทำอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ช้าเราก็จะเป็นผู้รู้จริงทำได้จริงผู้หนึ่ง มีติตเกษมปลอพภัยจากภัยต่าง ๆ และมีความรู้พิเศษสุดยอด ตามเยี่ยงอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้
เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว
พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำอะไร
อ้ายอยากมันก็หลอก อ้ายหยอกมันก็ลวง
ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย
เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม
เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป
เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้
คติธรรมของพระมงคลมนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ)
..........................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น